วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

사랑하는 TanYaNan




           อย่าโกหกจนเป็นนิสัย

คนเรามักทำผิดพลาดในชีวิตซึ่งอาจมากว่าหนึ่งครั้งในช่วงชีวิตที่เราอยู่
ณ เวลานี้ ลองนั่งทบทวนกันซักหน่อยดีมัย กี่ครั้งในชีวิตที่เรา โกหกเพื่อตัวเราเอง
หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก ฯลฯ มันมากมายไปถึงตัวเลขไหนแล้ว ที่เราโกหกกัน
เชื่อว่าทุกคนต่างเคยทำอย่างนั้นโดยอ้างเหตุผลร้องแปดพันเก้า
อ้างแม่น้ำทั้งสิบสาย อ้างฟ้าอ้างดิน อ้างเธอและเขา
อ้างความทุกข์และความเจ็บปวด อ้างโน้นอ้างนี่ อ้างอะไรก้อตามแต่
แต่คุณใช้คำโกหก โกหกเพื่อให้ตัวเองนั้นหลุดจากสิ่งที่ผูกมัด
หลุดจากพรรธนาการที่ตัวเองไม่ต้องการ หลุดจากความต้องการนั้น 
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆๆ โปรดจงรับรู้ไว้เถอะว่า
 คำโกหก คือการทำลาย ความเชื่อมั่นและพลังศรัทธาจากคนรอบข้างคุณ
คุณได้ทำลายความศรัทธาคนที่อยู่กับคุณไปแล้วเกินครึ่ง
แม้ว่าเขาหลายนั้นบอกว่าให้อภัยในสิ่งที่ผ่านมาก็ตาม



........ เหมือนคุณหลุดจากความผิดที่ปกปิดไว้ใช่มัย?..........
ลองทบทวนดูซิว่าวันนี้คุณยังโกหกอยู่อีกมัย ยังคงใช้คำโกหก ต่างๆ
เพื่อตัวเองอีกหรือเปล่า หากคุณยังคงใช้มัน นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจยิ่งนัก
เพราะคุณกำลังทำลายตัวคุณเอง ความศรัทธาที่เหลืออยู่มันกำลังเลือนหาย
ลงไปทุกที ทุกที..............



อย่าใช้คำโกหก จนกลายเป็นสันดาน เพราะเมื่อมันจมปรักในตัวคุณแล้วมันก็ยาก
แก่การดึงทุกสิ่งกลับคืนมา คุณจะค่อยๆ สูญเสีย คนรอบข้าง คนรัก ความอบอุ่น
ความเป็นเพื่อน และมากมายที่ต่อให้คุณสำนึกผิดเท่าไหร่ คุณก็ไม่อาจได้คืน


วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

1. ขอโทษด้วยความจริงใจ
ความจริงใจ เปรียบเสมือน มาตรวัดระดับพลังในการขอโทษของคุณ สิ่งนี้มีความหมายมากกว่าคำพูด “ขอโทษ ” มากนัก...
เทคนิคในการเพิ่มความจริงใจอย่างง่ายๆ ก็เช่น ลำรึกไว้เสมอ ว่าการ
ขอโทษบ่อยๆ นั่นไม่ดี (เหมือนเป็นการช่วยกระตุ้น และป้องกันไม่ให้ตัวเองทำผิด) หรือหากทำผิดไปแล้ว บางครั้ง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบขอโทษในทันทีทันใด เพียงแค่คิดดูให้ถี่ถ้วน และรอให้สถานการณ์เย็นลงก่อน... เมื่ออารมณ์เย็น หรืออารมณ์ดีขึ้น ความรู้สึกเข้าใจในสถานการณ์ และความรู้สึกสำนึกผิดก็จะมีมากขึ้น และจะช่วยให้เรากล่าวขอโทษผู้อื่น อย่างเข้าใจความหมาย ของคำๆ นี้ มากขึ้นตามกันไป

2. รับผิดชอบต่อผลของการกระทำ
บางครั้ง การกล่าวแต่คำขอโทษเพียงอย่างเดียว ก็แลดูเหมือนเป็นการแก้ตัวเกินไป แต่มีสิ่งที่จะมาหักล้างประเด็นในเรื่อง การแก้ตัวลงไปได้ก็คือ ต้องรับผิดชอบต่อผลของการกระทำ ยกตัวอย่าง คำพูดในการขอโทษอย่างเช่น “ผมขอโทษ” เปรียบเทียบกับ “นี่เป็นความผิดของผม และผมจะรับผิดชอบมันทั้งหมดเอง” (ในกรณีที่คุณรู้ดีแก่ใจว่า ความผิดนั้นเกิดจากการกระทำของคุณ) ความแตกต่างระหว่างสองประโยคนี้ ก็คือ ประโยคที่สอง แฝงความหมายที่แท้จริงของการขอโทษเอาไว้ด้วยนั่นเอง

3. ให้คำสัญญา อย่างเช่น “ผมจะพยายาม ทำมันให้ดีขึ้น”
กล่าวออกไปตรงๆ ว่า คุณขอโทษ... คุณยอมรับผิด แถมด้วยการให้สัญญาว่า คุณจะพยายามแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในครั้งนี้ ให้ดีขึ้นต่อไป คำสัญญา จะมีอานุภาพ ทำให้ผู้ที่ได้ยินเสียจังหวะ จนเกิดอาการใจอ่อน (จะอ่อนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่ร่างในสัญญา) ส่วนตัวคุณเองนั้น ก็จะได้รับผลกระทบดีๆ จากการที่จะได้ลดข้อเสียในตัวเองลงไปด้วยเช่นกัน

@ร้านหมูจุ่ม




สาเหตุของการนอกใจ

 ก็ไม่เสมอไปว่า ฝ่ายคนที่เปลี่ยนใจก่อนจะเป็นฝ่ายผิด หรือเป็นผู้ร้ายเสมอไป เพราะบางทีการที่เปลี่ยนใจหรือนอกใจกัน อาจมีเหตุผลที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่าที่คนภายนอกคิดไว้เป็นกะตั้กๆๆ เท่าที่ประมวลสาเหตุของการนอกใจทั้งที่เมคเซ้นท์ (มีเหตุผล) และไม่เมคเซ้นท์ (ไร้สาระ) รวมทั้งพยายามหาข้ออ้างทำให้น่าเชื่อถือเข้าไว้                     
มีอยู่หลายประการ ดังนี้... 1. นอกใจเพราะผิดหวังแฟนอยู่ลึกๆเพราะ ตอนที่จีบกัน ต่างคนต่างพยายามแสดงออกในด้านดีล้วนๆให้อีกฝ่ายประทับใจน่ะซี ถ้าไม่งั้นจะมีใครตกหลุมยอมเป็นแฟนฟะ แต่หลังจากนั้นพอทั้งคู่หอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่ร่วมบ้านชายคาเดียวกันแล้วนี่สิ ทีนี้ล่ะ นิสัยดี-ไม่ดี ของแต่ละฝ่ายมักเปิดเผยให้รู้ไส้รู้พุงกันล่ะคราวนี้ แล้วคิดรึว่า ต่างฝ่ายจะยอมรับนิสัยของกันและกันได้ ทั้งหมดน่ะ! บางคู่อาจเก็บเจ้าความรู้สึกไม่ชอบใจนี้มาผสมเล็กผสมน้อยฝังอยู่ในใจรอวันระเบิดออกมาก็ได้ อ๊ะอย่าลืมสิว่า ต่อให้คุณรักแฟนมากแค่ไหน แต่ “ความไม่ดีบางอย่าง” ของเค้า อาจทำให้คุณอึ้งจนมองผ่านมันไปไม่ได้เหมือนกันนะ

ส่วนบางคู่ยิ่งกว่าที่เล่ามาข้างต้นซะอีก ขนาดแค่เป็นแฟนกัน ก็นอกใจกันแล้วเพราะยอมรับการกระทำของแฟนไม่ได้ตั้งแต่สมัยจีบกันยังมีเล้ย แต่จะมีกี่คู่ไหนที่ยอมรับและกล้าพูดกันอย่างเปิดอกถึงเรื่องนี้ “ก่อนตีจาก” มั่งก็บ่ฮู้ เพราะไอ้ที่ว่าดูตัวดูใจดูนิสัยกันละเอียดยิบแล้วก็เหอะ ยังเลิกกันปาวๆ นักต่อนักมาแล้ว โธ่...โลกนี้หาความแน่นอนแท้จริงไม่ได้หรอกตัว!
2. นอกใจเพราะอยากรักหลายๆคนพร้อมกัน
 ก๊ะแสดงว่า 1 ไม่พอต้อง 2, 3, 4...ส่วนใหญ่ผู้คิดแบบนี้หนีไม่พ้นคนเจ้าชู้แต่จะ เจ้าชู้เปิดเผย หรือ เจ้าชู้เงียบ ก็ขึ้นอยู่กะใจของแต่ละคนแล้วล่ะ สงสารก็แต่คนที่มีแฟนแบบนี้มากกว่า เพราะคงมีช้อยส์เหลือให้เลือก 2 ประการ เช่น 2.1 เห็นแฟนนอกใจได้ ก็ทำเย้ยเค้ามั่ง กับ 2.2 เห็นแฟนนอกใจก็ทำใจซะ แล้วตัดสินใจว่ายอมรับได้ไหม? ถ้ารับได้ ก็ต้องคิดต่ออีกว่าคุณจะอยู่กับแฟนแบบนี้อย่างไร ถึง “จะไม่ อึดอัดใจหรือเสียความรู้สึก” อ่ะดี้ เพราะอย่างใครก็ไม่รู้พยายามเตือนสติว่า หากเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนตัวเราเอง แต่ทำแล้วคุ้มกันรึเปล่า? อย่าลืมคิดถึงตัวเองมั่งละกัน3. นอกใจเพราะเบื่อ และหมดรักซะแล้วเจอะงี้ คงไม่ต้องอธิบายให้เจ็บเหงือก, เป็นแผลที่ลิ้นและเสียดหัวใจกันแล้วเนอะ เพราะหัวข้อก็อธิบายได้อยู่แล้ว โธ่อย่าบอกนะว่าไม่รู้ไม่ชี้... หน่อมแน้มไปเพ่ เอาเป็นว่า หากคู่ใดลงเอยด้วยความเบื่อหน่ายหรือไม่เหลือรักแล้วไซร้ ต่อให้แฟนสาวหันมาเอาใจเค้าด้วยการแต่งตัวเซ็กซี่แค่ไหน ไม่ว่าจะค่อยๆเปลี่ยนการแต่งตัวจากเรียบร้อย มาใส่เสื้อสายเดี่ยว, สายสปาเกตตี หรือผ้าเช็ดหน้าคาดอก เค้าก็ไม่ซู่ซ่าแล้วล่ะ ส่วนฝ่ายชายที่ถูกสาวสลัดรักก็มีเช่นกัน ดังนั้น ต่อให้ตามตื๊อหรือคอยเอาใจหล่อน แค่ไหน หากใจไม่ดึงดูดกันแล้ว ก็ยากที่จะกลับมาดูดดื่มเหมือนเดิมนะฮ่ะ4. นอกใจเพราะถูกจับคุมถุงชนให้แต่งงาน แล้วรักจะยั่งยืนรึนั่น?อ่านถึงตรงนี้คงคิดว่า เรื่องงี้ปัจจุบันคงไม่มีแล้ว แต่ที่ไหนได้ยังมีนะเอ้า ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อน คนที่ถูก บังคับให้มีคู่ตามใจบุพการีหรือตามใจใครก็ไม่รู้ล่ะ “พ่อแม่ของคู่รักเยอะเลย” มักคิดเอาเอง ว่า เดี๋ยวอยู่ด้วยกันไป แล้วก็รักกันเอง แต่สมัยนี้จะเป็นงั้น รื้อ? เพราะสิ่งแวดล้อมยั่วยวนให้มนุษย์อดทนน้อย ลง แถมหนุ่มยังหนีไปเที่ยวพับเที่ยวบาร์และอาบน้ำนอกบ้านได้อีก ฉะนั้น โอกาสนอกใจนอกกายจึงทำได้ ทุกนาที จะเอาเที่ยวราตรีแบบไหนล่ะ บอกมาสิ5. การนอกใจยังเกิดจากสาเหตุอีกหลายประการบางคนอ้างอย่างงี่เง่าว่า นอกใจเพราะแฟนไม่ยอมให้สมสู่ด้วย จึงต้องไประบายกับคนอื่นแทน ไม่งั้นก็อ้างอีกแหละว่า เพราะคนอื่นช่างออเซาะกว่านี่หว่า แถมเอาใจใส่ก็เก๊งเก่ง และไม่ทึ่มทื่อเหมือนแฟนตัวจริงด้วย จึงหันไปจี๋จ๋าเจ๊าะแจ๊ะเป็นกิ๊กกะคนใหม่ซะเลย โอ้โห ขืน “ใจง่าย” ปานฟ้าแลบแบบนี้ ก็ไม่สมควรไปรักให้เสียเวลา
เพราะเค้าพร้อมไปซบอกคนใหม่ได้ตลอดเวลาอ่ะดิ่

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

ถ้าจะมองจากความรู้ของสมองสามชั้นคือ สมองชั้นนอกที่เกี่ยวกับคิด สมองชั้นกลางที่เกี่ยวอารมณ์ความรู้สึกและสมองชั้นในสุดที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย

โดยมีสมมติฐานว่าการทำงานของสมองทั้งสามชั้นควรจะต้องมีความสมดุล

เพราะมนุษย์ในยุคปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะใช้ "ความคิด" มากเกินไป ทำให้เสียสมดุล การกลับมาใช้สมองด้านอารมณ์ความรู้สึกและสมองส่วนของร่างกายให้มากขึ้น ก็น่าจะเป็นการปรับสมดุลอย่างหนึ่งให้กับมนุษย์ได้

"การขอบคุณ" เป็นการเริ่มต้นของการใช้พลังงานด้านบวกของหัวใจ ซึ่งเชื่อมโยงกับการทำงานสมองชั้นกลางที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก

ลองสังเกตดูด้วยตัวเองก็ได้นะครับว่า เมื่อ "เราเริ่มต้นขอบคุณ" อะไรสักอย่างหรือใครสักคน หลายๆ คนจะรู้สึก "หัวใจพองโต" อิ่มเอิบอบอุ่นที่บริเวณทรวงอกของเรา

ในค่ำคืนของเวิร์กช็อปบางวันบางครั้งเมื่อมีโอกาส ผมก็จะตั้งโจทย์กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมว่า ให้ลองลิสต์รายการที่คุณรู้สึกขอบคุณอะไรหรือใครหรือแม้แต่เหตุการณ์อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับคุณในวันนี้ดูสักสิบรายการ

เราก็จะพบกับ "บรรยากาศของความนิ่งสงบและมีความสุข" อย่างรวดเร็วเมื่อทุกคนจดจ่ออยู่กับการเขียนรายการขอบคุณของตัวพวกเขาเอง และส่วนหนึ่งเป็นเพราะเวลาที่มนุษย์อยู่รวมกันเป็นกลุ่มนั้น จะเกิดพลังงานที่เชื่อมโยงถึงกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ (กรกฎาคม 2552) ผมได้มีโอกาสโทรศัพท์พูดคุยกับคุณแม่ของผม ผมนึกขึ้นมาได้ว่ากิจกรรมนี้คุณแม่ของผมยังไม่เคยได้ลองทำผ่านการเขียน ก็เลยขอให้คุณแม่ไปนำสมุดบันทึกและปากกามา เขียนเลขหนึ่งถึงสิบ จากบนลงล่างเหลือเนื้อที่ด้านขวาว่างๆ เอาไว้

จากนั้นก็ตั้งโจทย์การขอบคุณนี้ให้กับคุณแม่ว่า วันนี้ทั้งวันแม่มีอะไรหรือใครที่อยากจะขอบคุณบ้าง

ผมนึกไปเองว่า "โจทย์ง่ายๆ" เพราะเคยทำเองก็ไม่พบว่ายากอะไร และก็เคยลองทำในเวิร์กช็อปก็เห็นว่าใครๆ ก็เขียนกันได้ แต่ก็ไม่เคยลองให้ผู้เข้าร่วมสะท้อนให้ฟัง เพราะเห็นว่าเป็นเพียงกิจกรรมเล็กๆ เพื่อเสริมแทรกเข้ามาเท่านั้นเอง

คุณแม่ของผมบอกว่า "นึกไม่เห็นออกเลย" ว่าจะมีอะไรน่าขอบคุณ ทั้งๆ ที่การพูดคุยกันในวันนั้นเป็นช่วงเวลาเย็นแล้ว

อืมมม เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของผมไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่ลดละความพยายาม เพราะไปตั้งตัวเลขให้แม่ไว้ตั้งสิบข้อ ก็เลยบอกท่านว่า เออ.. ลองลดเหลือสักห้าข้อก่อนก็ได้ครับ แม่ลองนึกๆ ดูว่าตั้งแต่เช้าตื่นมาทำอะไรบ้างมีอะไรที่พอจะ "หาเรื่องขอบคุณ" ได้บ้าง

ท่านก็บอกว่า ตื่นเช้ามาก็สวดมนต์ไหว้พระ...อ๋อ อยากขอบคุณพระพุทธเจ้า ผมรีบบอกว่า อืมม ได้เลยแม่ นี่ก็หนึ่งข้อแล้ว ท่านเริ่มหัวเราะออกมา ประมาณว่าดีใจที่เริ่มทำโจทย์การบ้านที่ผมให้ไปได้บ้างแล้ว

จากนั้นท่านก็ยังนึกไม่ออกว่าพอจะขอบคุณอะไรได้อีกบ้าง ผมก็ลองช่วยด้วยการบอกว่าจากนั้นแม่ทำอะไรอีก คุณแม่ก็บอกว่าสวดมนต์ไหว้พระแล้วก็กินข้าวเช้า

"อืมมม แม่ไม่อยากขอบคุณเมล็ดข้าวและกับข้าวที่แม่กินบ้างเหรอ" ผมถาม

ท่านหัวเราะดังและยาวขึ้นอีก "อะไรกัน เมล็ดข้าวนี่ก็ขอบคุณได้ด้วยเหรอ?" ท่านบอกว่าท่านรู้คุณของเมล็ดข้าวทุกเมล็ดมาตลอดชีวิตของท่าน ท่านไม่เคยทิ้งขว้างเมล็ดข้าวเลยสักเมล็ด ผมก็บอกว่า แบบนี้ก็นับได้ว่าเป็นการขอบคุณแล้วครับ ความรู้สึกแบบนี้แหละ

ท่านก็เขียนลงไปในรายการของท่าน พร้อมๆ กับเสียงหัวเราะที่เริ่มยาวขึ้น

จากนั้นผมก็ค่อยๆ ช่วย "แคะความรู้สึกขอบคุณ" ของท่านออกมาจากชีวิตประจำวันของท่านได้มากขึ้นเรื่อยๆ ไปสู่แม่บ้านที่ช่วยทำอาหาร น้องชายที่อยู่ที่บ้าน เพื่อนบ้านที่นำขนมมาให้ ฯลฯ

จนได้ครบสิบข้อ

ท่ามกลางเสียงหัวเราะของท่านที่แม้ในระยะหลังๆ นี้ท่านจะหัวเราะได้บ่อยมากขึ้น แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นและนานขึ้นและบ่อยครั้งแบบนี้มานานแล้ว ท่ามกลางความรู้สึกที่ทำให้หัวใจของผมพองโตเต็มอกไปด้วย

คือบางทีเราเผลอไปตั้ง "มาตรฐานการขอบคุณ" ของเรา "สูงเกินไป"

บางทีเราเผลอไปมองว่า "การขอบคุณเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่" เกินไป เช่น จะต้องเป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าดีจริงๆ สำคัญจริงๆ ยิ่งใหญ่จริงๆ เราถึงจะสามารถรู้สึกขอบคุณได้ การตั้งมาตรฐานการขอบคุณของเราแบบนั้นบางทีก็ได้ทำให้หัวใจของเรา "ขาดการหล่อเลี้ยง" ไปอย่างน่าเสียดาย

บางทีหัวใจของเราอาจจะไม่ได้จำเป็นต้อง "รอฝนห่าใหญ่" อย่างเดียวเท่านั้นนะครับ "การรดน้ำ" เพียงเล็กๆ น้อยๆ แต่บ่อยๆ และสม่ำเสมอ ก็จะเป็นหนทางที่ทำให้หัวใจของเราชุ่มฉ่ำได้ไม่น้อยเลย

เราจะเห็นนะครับว่า อารมณ์ความรู้สึกด้านบวกนั้น "หลบซ่อน" อยู่ในชีวิตประจำวันของเราไม่น้อยเลย เมื่อเราสามารถมี "แคะอารมณ์บวก" บางอย่างบางเรื่องให้ผุดขึ้นมาได้ อารมณ์บวกอื่นๆ ก็จะถูกชวนกันให้ออกมาปรากฏตัวมากขึ้น การขอบคุณนำมาสู่การหัวเราะที่มีความสุขได้ อาจจะนำมาสู่ความรู้สึกดีๆ กับตัวเราเองได้

อย่างไรก็ตาม ผมยอมรับว่าในเบื้องต้นก็อาจจะเขียน "รายการขอบคุณ" ก็อาจจะไม่สามารถเขียนได้ง่ายๆ และหลายๆ ท่านก็อาจจะนึกไม่ออกเหมือนกับตัวอย่างคุณแม่ของผม

อยากจะแนะนำให้ลองเริ่มต้นแค่สามรายการดูก่อน

ช่วงแรกๆ ก็อาจจะรู้สึกแปลกๆ หรือยังไม่ค่อยรู้สึกอะไรชัดเจนนัก อยากให้ "ลองหาเรื่อง" ขอบคุณไปเรื่อยๆ คุณจะพบว่ารายการขอบคุณของคุณจะค่อยๆ ยาวขึ้นเอง อาจจะทำเป็นเกมในครอบครัว ช่วยกันดูว่าในแต่ละวันเรามีอะไรที่จะขอบคุณได้บ้าง

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554







@สวนนม

กุ้งจี้เล่นกะลิง



50 นิยามของความรักในเเต่ละอารมณ์ของคนเรา

1.ความรักคือ โชคอย่างหนึ่งเพราะใช่ว่าทุกคนจะมีได้


 2.ความรักเป็นได้ทั้งมือเเละผ้าพันเเผลเวลาเสียใจ



3.ความรักคือ สิ่งเติมเต็มให้ชิวิตไม่รู้สึกขาดอะไรไปอย่างนึง



4.ความรักคือ ความหวัง กำลังใจ เเละศรัทธาในกันเเละกัน



5.ความรัก มีความลับอยู่อย่างหนึ่งว่าไม่ได้รักในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขเเต่มีความสุขใน สิ่งที่เรารักต่างหาก



6.ความรักคือ ศิลปะ ที่คนมีรักเท่านั้นที่จะเข้าใจเเละเห็นคุณค่า



7.ความรักคือ โอกาส ที่เราจะได้พิสูจน์จิตวิญญาณของตัวเอง



8.ความรักคือ สิ่งที่ทำให้คนฉลาดกลายเป็นคน** ทำให้คน**กลายเป็นคนฉลาด



9.ความรัก เมื่อสูญเสียไปเเล้วก็ยังดีกว่าไม่เคยรัก


10.ความรัก มิได้เป็นการก้าวนำหรือก้าวตามเเต่เป็นการก้าวไปพร้อมๆกัน


11.ความรักทำให้คนเราเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์เดิมๆของชีวิต


12.ความรักทำให้จดจำคืนพิเศษคืนเดียวไปตลอดชีวิตเพราะทุกคืนที่ไร้ความรักก็มิอาจเทียบเท่าได้กับคืนนี้เพียงคืนเดียว


13.ความรักคือการยอมเป็นน้ำเย็นในขณะที่อีกฝ่ายร้อนเป็นไฟ



14.ความรักที่มีมาเป็นปีๆก็สามารถพังทลายลงได้เพียงเสี้ยววินาที



15.ความรักจะยาวนานหรือจะเเสนสั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับวิธีที่รัก



16.ความรักกว่าจะพบเจอได้นั้นเเสนยากอย่าให้มันจบสิ้นเพียววันเดียว



17.ความรักสามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลาเหมือนถ่านไฟเก่าที่กำลังคุโชน



18.ความรักต่อให้บอกกันทุกวันว่ารักก็ไม่มีคำว่ามากเกินไปหรอกเเต่ความเกลียดสิบอกกันครั้งเดียวก็คงไม่อยากได้ยินอีกต่อไป


19.ความรักถ้าไม่รักเเล้วต่อให้พูดมากเท่าใดก็ไม่สามารถรักกันได้



20.ความรักสามารถให้อภัยกันได้เสมอโดยไม่มีเงื่อนไขว่ากี่ครั้ง



21.ความรักรักได้เเต่อย่าหลงเพราะถ้าหลงเวลาเลิกเเล้วจะเจ็บปวด



22.ความรักอยู่เหนือคำทำนายเเละจะไม่มีวันเป็นไปตามคำพยากรณ์ได้



23.ความรักคือสิ่งแปลกใหม่ที่จะทำให้มุมมองของคุณเปลี่ยนไปจากเดิม



24.ความรักทำให้คุณอยู่นิ่งๆเงียบๆได้นานกว่าเดิม



25.ความรักคือสิ่งที่ทำให้เกิดประกายไฟในหัวใจ



26.ความรักคือการเริ่มคิดเป้าหมายเเห่งชีวิต



27.ความรักคือการร่วมฝัน ร่วมปันใจเเละก้าวไปในชีวิต



28.ความรักคือการอยู่เคียงข้างกันเสมอไม่ว่าอีกฝ่ายจะตกต่ำเพียงใด



29.ความรักไม่ว่าจะเป็นเเบบไหนยังไงมันก็ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว



30.ความรักเป็นนามธรรมที่มองไม่เห็นเเต่สัมผัสไได้ด้วยหัวใจ



31.ความรักทำให้วันเลวร้ายไม่เป็นวันเลวร้ายที่สุด



32.ความรักทำให้วันที่เเสนเศร้ากลายเป็นวันที่สุขที่สุดได้



33.ความรักเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่สามารถจะหาได้ง่ายตามท้องถนน



34.ความรักทำให้อะไรดีงามได้เสมอ



35.ความรักที่รีบร้อนมักจะพบกับจุดสิ้นสุดได้รวดเร็วเสมอ



36.ความรักคือสิ่งที่เเม้จะทำความเจ็บปวดให้เเต่ก็ไม่มีใครที่กลัวหรือเกลียดชัง ความรัก



37.ความรักไม่ได้จบลงเเค่การเเต่งงานหรือมีSEXเท่านั้น



38.ความรักคือสิ่งที่คุณจะพบได้เองโดยมิต้องเเสวงหา



39.ความรักคือสิ่งที่ยืนยาวกว่าชีวิตคนคนนึง



40.ความรักส่วนมากมักจะเติบโตมาจากความเป็นเพื่อนเเละมักจะยืนยาวเสมอ


41.ความรักในยามเเรกรักคือช่วงเวลาของรักที่หวานหอมมากที่สุด



42.ความรักครั้งเเรกเเละครั้งสุดท้ายมักจะเป็นรักในตนเอง



43.ความรักทำให้คนกลายเป็นกวี และศิลปิน



44.ความรักไม่ใช่การมองตากันเเต่เป็นการมองไปในทิศทางเดียวกัน



45.ความรักไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ไม่มีคำว่าสายไป



46.ความรักคือสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณ



47.ความรักทำให้ทุกอย่างสว่างเเละสดใส



48.ความรักคือการพึงพอใจในสิ่งที่รัก



49.ความรักจะมีคุณค่าได้ต่อเมื่อคนที่รักต้องให้เกียรติ์ซึ้งกันเเละกัน



50.ความรักบางทีก็เป็นสะพานทอดไปสู่การเเต่งงาน